AEC (Asean Economic Community) เปิดประตูสู่สมาคมอาเซียน
Written by  
No photo has been attached. AEC (Asean Economic Community)

AEC (Asean Economic Community)

เปิดประตูสู่สมาคมอาเซียน

 

 

ปีพ.ศ. 2558 ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศไทย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, กัมพูชา, สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม, เมียนมาร์, มาเลเซีย, สิงคโปร์, บรูไน, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย จะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ ASEAN Economic Community (AEC) อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม

 

brunei

1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)

philipine

6.สาธรณะรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

cambodia

2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom Cambodia)

singapore

7.สาธรณะรัฐสิงค์โปร (The Republic of Singapore)

Indonesia

3.สาธารณะรัฐอินโดนีเซีย (Republic Indonesia)

thailand

8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

lao

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (The Lao People’s Democratic Republic of Lao PDR)

vietnam

9.สาธารณะรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The socialist Republic of Vietnam)

malaysia

5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

myanmar

10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

 โดยมีเป้าหมายร่วมกัน ว่าการเปิดประตูสู่ "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" (AEC) จะส่งผลให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ที่มีฐานการผลิตรวมกัน มีการเคลื่อนย้ายปัจจัยทางการผลิตอย่างเสรี เกิดความเป็นปึกแผ่น และสร้างอำนาจต่อรองทางด้านการค้า/เศรษฐกิจ ในเวทีการค้าโลกได้อย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

 

ก่อนจะเป็น AEC

สมาคม ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ASEAN) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 โดยระยะแรกนั้นมีสมาชิกเริ่มแรกแค่ 6 ประเทศ คือ บรูไน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และไทยภายหลังมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 4 ประเทศ ได้แก่กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมาร์ และ เวียดนาม หรือที่เรียกว่า CLMV

 

มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสันติภาพในภูมิภาค นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และมีการรวมกลุ่มกันเพื่อขยายความร่วมมือทางการค้าระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น โดยการจัดทำเขตเสรีการค้าอาเซียน (AFTA) ในปี 2535

นับตั้งแต่การ ก่อตั้งอาเซียนเป็นต้นมา ประเทศสมาชิกต่างพยายามส่งเสริมการยึดมั่นในบรรทัดฐานร่วมกัน โดยอาเซียนให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจร่วมกัน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายหลังจากการดำเนินการไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟต้า (ASEAN Free Trade Area: AFTA) ได้บรรลุผลสำเร็จแล้วนั้น ในการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 8 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ณ ประเทศกัมพูชา ที่ประชุมได้เห็นชอบให้อาเซียนกำหนดทิศทางการดำเนินงานเพื่อมุ่งไปสู่การ เป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) อันมีลักษณะคล้ายคลึงกับประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Community: EEC) โดยที่เดิมทีเดียวนั้นกำหนดการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้เกิดขึ้น ภายในปี 2563 หรือ ค.ศ.2020

แต่ต่อมาเมื่อมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 12 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามใน "ปฏิญญาเซบู" ว่าด้วยการเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้เร็วขึ้นอีก 5 ปี เป็นภายในปี 2558 หรือ ค.ศ.2015 โดยเป้าหมายหลักของการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีวัตถุประสงค์สำคัญ 4 ประการ ได้แก่

1.การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกันโดยการเปิดเสรีด้านสินค้า บริการ และการลงทุน ด้วยการลดหรือยกเลิกข้อจำกัดอันเป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุนในภาคบริการ ระหว่างกัน

2.การเป็นภูมิภาคที่มีความสามารถในการแข่งขันโดยส่ง เสริมให้ประเทศสมาชิกมีกฎหมายด้านการแข่งขัน เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมกันและสร้างวัฒนธรรมการแข่งขันของภาค ธุรกิจที่เป็นธรรมและการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา

3.การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกันโดยเน้นด้านการพัฒนา วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs และการลดช่องว่างของการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกและ

4.การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก

 

ดังนั้น เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศรวมกันเป็นกลุ่มประชาคมอาเซียน จึงต้องมีพันธสัญญาที่ต้องดำเนินการ ประกอบไปด้วยเสาหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านวัฒนธรรม และ ด้านเศรษฐกิจ

ในส่วนของ "เสาหลักด้านเศรษฐกิจ" นั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องเป็น "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมีการกำหนด "พิมพ์เขียว" หรือ AEC Blueprint ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาซียนใช้เป็นพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติร่วมกันตามกรอบ เวลาที่กำหนด มีสาระสำคัญประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ

1) พันธกรณีที่ผูกพันให้ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้อง "เปิดตลาด" สินค้าระหว่างกันมากขึ้น ตามความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกเก่า 6 ประเทศ เร่งทยอยลดอัตราภาษีสินค้าลงมาตั้งแต่ปี 2535 จนเหลือ 0% ไปแล้วประมาณ 8,000 รายการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นมา

ส่วนประเทศ สมาชิกใหม่ของอาเซียน 4 ประเทศ หรือ CLMV ได้แก่ กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมาร์, และเวียดนาม มีกำหนดให้ทยอยลดภาษีสินค้าต่าง ๆ ลงให้เป็น 0% ภายในปี 2558 พร้อมกันนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดยังมีข้อผูกพันที่จะต้องลดมาตรการกีด กันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) ให้หมดไปอีกด้วย

2) พันธกรณีการเปิดเสรีการค้าบริการ มีเป้าหมายให้ประเทศสมาชิกอาเซียนลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด ด้วยการเปิดกว้างให้นักลงทุนอาเซียนสามารถเข้ามาลงทุนและถือหุ้นได้ในประเทศ สมาชิกอาเซียนในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ในสาขาบริการสำคัญ (Priority Integration Sector) ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ, สาขาสุขภาพ และสาขาการท่องเที่ยว ภายในปี 2553 การเปิดเสรีสาขาโลจิสติกส์ภายในปี 2556 และการเปิดเสรีสาขาบริการอื่น ๆ ที่เหลือทุกสาขาภายในปี 2558

3) พันธกรณีการเปิดเสรีการลงทุน ต้องการให้ประเทศสมาชิกอาเซียนได้รับการประติบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) ตลอดจนสามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนและแรงงานได้อย่างเสรี รวมไปถึงการพัฒนาความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกันมากยิ่งขึ้น

พันธกรณี เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งด้านบวกและด้านลบ กล่าวคือ มีสินค้า/บริการหลายรายการที่ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ แต่ก็มีสินค้า/บริการ อีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถแข่งขันได้

ประเทศไทยจำเป็นต้องรีบปรับตัวก่อนที่อาเซียนทั้ง 10 ประเทศ จะรวมตัวกันเป็นตลาดเดียวในที่สุด